ชีวิต

‘ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พวกคุณชื่นชอบอะไรเป็นที่สุด?’ คำถามจากอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่ได้ตั้งคำถามกับเด็กในชั้นเรียนที่นั่งเรียนกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา จำนวน 6 คน คำถามดังกล่าวได้มีนัยยะแอบแฝงที่เป็นตัวชี้วัดว่า ตลอดเวลาที่คุณได้ใช้ชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน สิ่งไหนที่คุณชื่นชอบจริง ๆ หรือคุณแค่ทำตามคนอื่นเท่านั้น ซึ่งถ้าให้ตอบจากใจจริงคงจะให้คำตอบไม่ได้ เพราะเรายังไม่รู้ว่าสิ่งใด คือสิ่งที่ชื่นชอบและปรารถนาอย่างแท้จริง โดยปราศจากการเลียนแบบความชื่นชอบของคนอื่น 

จากเด็กที่ใช้ชีวิตอยู่ในระบบการศึกษามาเกือบ 20 ปี ปัจจุบันกำลังจะจบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และอีกไม่นานคงต้องออกไปใช้ชีวิตอยู่ในระบบแรงงาน จนถึงตอนนี้ คงยังตอบคำถามที่ว่า ‘ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พวกคุณชื่นชอบอะไรเป็นที่สุด?’ ยังไม่ได้ แล้วในอนาคตข้างหน้าในระบบแรงงาน เราจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างไร 

‘อาจเป็นเพราะการเติบโตมาในสังคมที่ปิดกั้นทางความคิด’ ทำให้เด็กอย่างเราไม่กล้าทำตามความฝัน หลายครั้งที่เริ่มตั้งคำถามกับพ่อ-แม่ ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ควรฝัน แต่กลับได้ตีกรอบความคิด พร้อมวาดฝันให้เป็นในสิ่งที่เพียมพร้อมตามอุดมคติของผู้เป็นพ่อ-แม่ แล้วสิ่งใดกันที่เด็กอย่างเรานั้น ‘ปรารถนา’ หรือ ‘เพียงแค่ทำตามฝันของคนอื่นที่วาดไว้ให้เดินตามเท่านั้น’ เป็นเรื่องน่าเศร้าของเด็กอย่างเราที่ต้องเติบโตอย่างไร้จุดหมาย กับชีวิตที่แสนอาภัพบนโลกโหดร้ายใบนี้

‘เส้นทางที่มีให้เลือก หรือเลือกให้’ เส้นทางชีวิตที่จะเป็นตัวกำหนดอนาคตว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเหมือนอยู่ในละคร หรือต้องจำใจเดินตามเส้นทางที่ไม่มีแม้โอกาสให้เลือก เด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ พ่อ-แม่มีกำลังทรัพย์สนับสนุนให้ลูกได้ทำตามฝัน อาทิ การเรียนพิเศษ การเรียนเต้น การเรียนร้องเพลง นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอิจฉากับชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ต่างจากเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่หาเช้ากินค่ำ ต่างต้องตกระกำลำบากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วถ้าหากพูดถึงความฝัน ก็คงได้แต่ฝันเพียงเท่านั้น เพราะทางเลือกมีเพียงสามทางให้เราได้เลือกเดิน

ทางแรก ‘ต้องเป็นเด็กขยันมั่นเพียร’ ถึงแม้ชีวิตจะตกต่ำเพียงใด ความรู้คงเป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะนำพาเด็กอย่างเราไปพบอนาคตที่ดี พ่อ-แม่กล่าวเสมอว่า ถ้าหากตั้งใจเรียน อนาคตจะโตไปเป็น ‘เจ้าคน นายคน’ จึงทำให้เด็กอย่างเราเข้าใจว่า ‘การศึกษาเป็นทางออกที่ดีที่สุด’ ต้องสอบให้ได้คะแนนสูง ถึงจะได้ทุนเรียนฟรี และเป็นที่ยอมรับจากสังคม นี่จะเป็นทางเลือกที่ดีมากถ้าหากคุณเป็นเด็กเรียนเก่ง แล้วหากว่าคุณเป็นเด็กเรียนไม่เก่งละจะทำอย่างไร จึงเกิดเป็นทางเลือกต่อมา

ทางที่สอง ‘ไปทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว’ ถึงแม้ว่าไม่เก่งด้านวิชาการ จงใช้กำลังกายให้เกิดประโยชน์ พ่อ-แม่หลายคนที่ไม่มีกำลังทรัพย์ส่งลูกให้เรียนสูง จึงได้แต่ส่งลูกเข้าสู่ระบบแรงงานตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยความที่หลีกเลี่ยงชะตาชีวิตไม่ได้ เพราะต้องหาเงินเลี้ยงปากท้อง ถึงแม้จะเป็นอาชีพที่โดนกดขี่เพียงใด ถ้าเงินดี ก็คงได้แต่ทน ด้วยความที่วาสนาไม่ดีเหมือนใครเขา เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ไม่มีแม้เวลาให้ออกมาใช้ชีวิตตามประสาวัยที่ควรจะเป็น แล้วหากคุณเป็นเด็กที่ร่างกายไม่แข็งแรง และไม่ทนต่องานที่ยากลำบาก ยังคงมีทางลัดเสมอ

ทางสุดท้าย ‘รีบสร้างครอบครัว หรือหาผัวรวย’ ถึงแม้จะโดนตราหน้าว่าเป็นคนเกาะผัว ซึ่งคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ถ้าหากมีคนมาครหา การถูกปลูกฝังความคิดดังกล่าวจากพ่อ-แม่ นับว่าไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่อย่างใด เพราะต้นทุนชีวิตของคนต่างกัน การจะใช้ชีวิตอย่างไรให้พ่อ-แม่สุขสบายนั้น นับว่าเป็นหน้าที่ของผู้เป็นลูกที่ควรภาคภูมิใจกับการเลี้ยงดูผู้มีพระคุณ 

ทางเลือกที่เหมือน ‘ไม่ได้’ เลือก จากที่กล่าวมาทั้งสามทางนั้น นับว่าเป็นการสะท้อนชีวิตของเด็กที่พ่อ-แม่ไม่มีกำลังทรัพย์สนับสนุนให้ลูกเดินตามความฝัน สุดท้ายจึงเป็นการบังคับพร้อมตีกรอบทางเลือกให้อย่างจำใจ ผลจึงตกไปสู่ลูกผู้ที่เกิดมาบนโลกอันโหดร้าย แม้แต่เพียงเส้นทางชีวิตยังเลือกเดินตามความฝันไม่ได้ แล้วการใช้ชีวิตจะอยู่แค่ ‘หาเงิน’ เลี้ยงดูพ่อ-แม่ เพียงเท่านี้หรือ นี่เป็นชีวิตที่ไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่ว่าการเลี้ยงดูพ่อ-แม่ไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่เพียงชีวิตชั่งหม่นหมอง เหมือนกำลังเดินท่ามกลางพายุฝนอันหนาวเหน็บเนื้อตัวหนาวสั่นไร้ที่กำบัง เหมือนคนที่สับสนกับชีวิตว่า ‘จะเอาอย่างไรต่อกับอนาคตข้างหน้า’ 

กลับมาสู่คำถามที่ไร้คำตอบ ‘ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พวกคุณชื่นชอบอะไรเป็นที่สุด?’ จะเป็นเรื่องที่แปลกมั้ย ถ้าหากคนหนึ่งคนจะมีหลายคำตอบ ไม่ว่าสุดท้ายจะตอบคำถามดังกล่าวอย่างไร ซึ่งนั้นจะเป็นคำตอบที่มาจากความฝันของคุณอย่างแท้จริง ว่าอยากฝันเป็นอะไรในอนาคต อย่างน้อยถึงแม้ฝันนั้นจะไม่สามารถเป็นไปได้ดั่งใจนึก แต่ยังคงดีที่คุณกล้าที่จะฝัน ดีกว่าอีกหลายคนที่หมดไฟในการทำตามฝัน ถ้าหากคุณยังมีฝันนั้นอยู่ ‘จงทำตามฝัน จนกว่าคุณจะหมดแรงเดิน’ ใช้ชีวิตตามใจคุณ ก่อนที่คุณจะไม่มีชีวิตให้ใช้

เดินทางสู่โลกภายนอก ‘ออกจากระบบการศึกษา’ ได้เวลาเรียนรู้ชีวิตสีเทา ที่ไม่ใช่สีขาว หรือสีดำ ดื่มด่ำความขื่นขมกับรสชาติของชีวิตในวัยทำงาน ต้องยอมรับว่าปัจจุบันเอาแน่เอานอนกับอนาคตไม่ได้ เพราะการเติบโตของเศรษฐกิจค่อนข้างมีปัญหา จึงส่งผลกระทบต่อหลายด้าน อาทิ เด็กจบใหม่มีแนวโน้มว่าจะตกงานสูงขึ้น ด้วยการบริหารงบประมาณในส่วนของการพัฒนาเศรษฐกิจ ตกไปอยู่ในมือของคนที่ไม่มีความสามารถมาเป็นผู้บริหาร เศรษฐกิจจึงไม่ขยายตัวอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งเห็นได้ชัดในระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา ประชาชนมีแต่สูญเสีย เสียโอกาสในการทำงานที่ดี เสียอนาคตที่วาดฝันไว้ และเสียเวลาไปกับการตามหาความฝันที่ไม่มีการยอมรับจากสังคม หรือรองรับทางด้านรายได้จากรัฐบาล อาทิ อาชีพ sex worker หรือการขายบริการ เพียงแค่เป็นความฝันที่ต่างจากคนอื่น จึงไม่ได้รับการยอมรับ คงจะมีเพียงอาชีพ หมอ ครู ตำรวจ และทหาร ที่สังคมและรัฐบาลจะสนับสนุน แต่กับอาชีพอื่นที่คนเรามีความฝันอยากจะเป็นก็คงเป็นไปได้ยาก

สังคมให้ ‘โอกาส’ เสมอ หากคุณ ‘พิสูจน์ตนเอง’ สังคมมักตีกรอบความฝันของคนหนึ่งคนว่าเป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้ และไม่ยอมรับหากคุณยังไม่พิสูจน์ตนเองต่อสังคม ว่าสิ่งที่คุณทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูก สังคมถึงจะยอมรับว่าเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม แล้วทำไมสังคมถึงต้องคอยกดดัน พร้อมกดทับความฝันของบุคคลอื่น หากความฝันนั้นไม่ใช่เรื่องที่ผิด ‘ขอเพียงไม่ไปทำร้ายใครก็พอ’ ทำไมเด็กอย่างเราต้องคอยมาพิสูจน์ตนเองเพื่อให้คนอื่นมายอมรับด้วยละ ถ้าไม่สนับสนุนความฝันของคนอื่น ก็ควรอยู่นิ่งเฉย หยุดครหาคนอื่นที่เขาเพียงแค่ ‘คิดต่าง’ เท่านั้น

การที่จะกล้าคิดแตกต่างนับเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยคุณก็กล้ายอมรับและทำตามใจตนเองที่พึงปรารถนา ออกจากกรอบที่พ่อ-แม่วาดฝันไว้บ้างก็ไม่แย่เสมอไป อาจได้ออกไปพบเจอประสบการณ์ชีวิตในรูปแบบใหม่ ที่คุณอาจจะหาไม่ได้จากที่ไหนบนโลกอันโหดร้ายใบนี้ ถึงแม้จะล้มลุกคลุกคลาน และผิดพลาดไปบ้างในบางครั้งก็ไม่เป็นหรอก ขอแค่คุณอย่าหยุดเชื่อมั่นในตนเองก็เพียงพอ