คอนเทนต์ครีเอเตอร์(นักสร้างสรรค์สื่อ) เป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมและมาแรงในหมู่ของคนรุ่นใหม่ ที่พัฒนาจากสื่อในวิทยุ โทรทัศน์ มาอยู่ในแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง เฟซบุ๊ก ยูทูบ อินสตาแกรม ติ๊กต็อก และสื่อออนไลน์อื่นๆ คอนเทนต์ครีเอเตอร์มีทั้งที่เป็นพนักงานรับจ้างสร้างสรรค์สื่อ และมีทั้งที่ทำมันออกมาเพราะความชอบ เพราะใจรัก
คอนเทนต์จากคนอีสานที่เราคุ้นเคยกันก็คงมี นักกิน นักชิม เลี้ยงควาย หาของป่า คอนเทนต์จากผู้หญิงที่มีสามีเป็นชาวต่างชาติ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเครื่องยืนยันว่า ไม่ว่าใครก็เป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ได้ และดูเหมือนว่าคอนเทนต์เหล่านี้จะได้รับความนิยมมากเลยทีเดียว
วันนี้ ‘เดอะลาวเด้อ’ จึงขอพาคอนเทนต์ครีเอเตอร์ลูกอีสานสองคนมาแนะนำให้รู้จัก เริ่มจาก ต๊ะ รชฏ ภัคธนาดิษกุล เจ้าของเพจ ‘อยู่มุก มุกดาหาร’ และ แก้วใส Daily Life story หรือกชกร บัวล้ำล้ำ เด็กสาวผู้ถ่ายทอดชีวิตความเป็นอยู่ของตนเองในฐานะคนรุ่นใหม่จากอีสาน จังหวัดสกลนคร พร้อมทั้งสอดแทรกการเมืองและสอนภาษาอังกฤษลงไปในคอนเทนต์ตามฉบับของแก้วใส จนทำให้เพจมีผู้ติดตาม 100,000 คน นับตั้งแต่วันแรกจวบจนปัจจุบันก็เป็นเวลา 1 ปีแล้วที่ทุกคนได้รู้จักแก้วใสคนนี้
การเริ่มต้น
ตะ๊ เริ่มทำเพจ ‘อยู่มุก มุกดาหาร’ ในช่วงปี 2018 โดยเนื้อหาในเพจเป็นการชูจุดเด่นของจังหวัดมุกดาหารด้วยการถ่ายรูปภาพและวิดีโอ ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว วิถีชีวิต งานประเพณี เทศกาลที่เกี่ยวข้องกับจังหวัด ทำให้มีผู้ติดตามเพจมากกว่า 150,000 คน
![](https://thelouder.co/wp-content/uploads/2023/05/348390561_102728779507552_2773637530899098993_n-1024x1024.jpg)
ส่วนเพจ แก้วใส Daily Life story เริ่มจากความชอบทำคลิป ชอบถ่ายคลิปตลกๆ และเพื่อนก็แนะนำให้ทำเพจ เธอจึงเปิดเพจเพื่อทำเรื่องสนุกๆ โดยไม่ได้หวังว่าจะอยากเป็นคนดังหรือเน็ตไอดอล ตามชื่อเพจเลย แก้วใส Daily Life story มันคือชีวิตประจำวันของเด็กผู้หญิงที่ชื่อว่า แก้วใส ผู้หญิงบ้านๆ ภูธร และด้วยความที่ตัวเองทำข่าวการเมือง คลิปของแก้วใสนั้นก็จะชอบมี Message ทางการเมืองเล็กๆ แทรกไว้ด้วยเสมอ
![](https://thelouder.co/wp-content/uploads/2023/05/348637444_633775325278075_6086890119959888653_n.jpg)
ต๊ะ เปิดเผยกับ ‘เดอะลาวเด้อ’ ถึงจุดเริ่มต้นของการทำเพจ ‘อยู่มุก มุกดาหาร’ เพราะอยากให้คนต่างจังหวัด และคนต่างประเทศได้เห็นวิถีชีวิตคนอีสาน ซึ่งหลังจากเรียนจบ ตนได้ทำงานอยู่กรุงเทพฯ 2 ปี มีความรู้สึกอยากกลับมาอยู่บ้าน ในช่วงที่ทำเพจเป็นช่วงที่เฟชบุ๊กเริ่มมีบทบาทในสื่อใหม่ อยากให้คนที่ไปทำงานอยู่กรุงเทพฯ มีความรู้สึกเหมือนได้เห็นภาพบ้านเกิด เนื่องจากตนชื่นชอบในการถ่ายภาพ และเป็นช่างภาพอิสระ สุดท้ายกลับมาบ้านก็เริ่มถ่ายรูปลงเพจ ทำคอนเทนต์
“คอนเทนต์ที่ถ่ายลงเพจคือ วิถีชีวิตชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร และความเป็นอีสาน เนื่องจากช่วงแรกๆ คนที่มาติดตามเพจจะเป็นคนในพื้นที่ แต่หลังๆ เริ่มมีคนจากต่างจังหวัดต่างประเทศเข้ามาติดตามเพจเป็นวงกว้าง ทำให้เริ่มคิดคอนเทนต์ที่เป็นวิถีชีวิตของคนอีสานมากขึ้น อย่างเช่น บุญบั้งไฟ เพื่อที่จะทำ ให้ผู้คนได้รับรู้ถึงวิถีชีวิตอีสาน ว่ามีมุมมองที่สวยงามและน่ารักอยู่ในตัว” ต๊ะกล่าว
ส่วนแก้วใสไม่ต้องการผลิตซ้ำความโรแมนติกหรือสวยงามของความเป็นอีสาน แต่เน้นนำเสนอมุมมองความคิดที่ต่างออกไปในเพจของเธอ
“การที่ใครก็ตามทำให้ภาพของชนบทมันดู Normalized มันสวยงาม หรือไปจนถึงการพูดถึงความจนผ่านแว่นของความ Romanticized พูดถึงความจนให้ดูดี อาจจะมีการชูสามนิ้วบ้าง เรียกร้องเรื่องของคนเท่าคนบ้าง แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าคนที่อยู่ในช่วงอายุ 29-40 ปี เป็นกลุ่มคนดูเสียส่วนใหญ่ การใส่ Message ทางการเมืองแบบนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นด้วย แน่นอนว่าเขาไม่คิดเหมือนเรา แต่เขายอมรับเราเพราะความสามารถในการทำคลิป การเล่าเรื่องของเรา แก้วใสจึงคิดว่า การทำคลิปในลักษณะนี้มันจะเป็นเหมือนการสร้าง soft power ทางความคิดได้ และอยากให้มองว่า คนที่เห็นต่างกันก็สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้”
อีสานไม่เจริญ แต่ไม่ได้มีแค่ทำนา
เนื่องจากความเจริญมันกระจุกตัวอยู่เมืองหลวง การทำงานในกรุงเทพฯ รู้สึกกดดันตัวเองมาก แต่พอกลับมาบ้านนอก รู้สึกสบาย เราไม่ต้องอดทนกับสภาวะที่กดดันมากมาถือว่าดี โดยต๊ะเล่าว่าเคยโดนบูลลี่ แต่ก็เปลี่ยนมุมมองคนบูลลี่ไม่ได้ แต่ก่อนไม่มีพื้นที่โซเชียลคนอาจจะไม่รู้ว่าอีสานมันมีอะไรที่น่ารัก แต่เราไม่สามารถนำเสนอได้เพราะว่า สื่อหลักส่วนมากจะอยู่ที่ภาคกลาง ก็จะนำเสนอชีวิตคนในโซนภาคกลาง ทางภาคอีสานจะเป็นสื่อท้องถิ่น คนที่เข้าถึงได้ก็มีแต่คนท้องถิ่น
“เพื่อนของต๊ะที่อยู่ใน กรุงเทพฯ ได้เห็นคอนเทนต์ที่ผมทำลงในเพจ ก็พูดว่า ‘แถวบ้านมึงก็น่ารักนะ’ ซึ่งจุดแข็งของอีสาน คือมีธรรมชาติที่สวยงาม แต่การนำเสนออาจจะไม่กว้างมาก ในช่วงหลังเริ่มสังเกตได้จากสื่อต่างๆ ถ้าทำเกี่ยวกับคอนเทนต์อีสานรู้สึกว่าทุกคนดูเยอะ คนที่ไปทำงานที่ต่างประเทศทำคอนเทนต์ กินส้มตำ ก็เริ่มเห็นไปรูปธรรม รู้สึกว่าไปที่ไหน สามารถพูดว่าเรามาจากอีสานได้อย่างภูมิใจ การเผยแพร่วัฒนธรรมที่เปิดกว้างอย่าง หมอลำอีสานบ้านเฮา เพลงลูกทุ่ง หลายคนก็รู้แล้วว่า คือนัมเบอร์วัน จึงเป็นความภาคภูมิใจส่วนหนึ่งที่เราได้เป็นจุดเล็กๆ ของบ้านมุกดาหารก้าวสูความเป็นภาคอีสานที่เติบโตขึ้น ส่วนในเรื่องบูลลี่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเขาได้แต่จะทำยังไงให้เขาได้เห็นและเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเขาเอง”ต๊ะกล่าว
ส่วนแก้วใสมองว่า คนอีสานถูกเหมารวมว่าต้องเป็นชาวนา กลับบ้านไปทำนานั้นเป็นวาทกรรม คนอีสานกลับบ้านมาไม่มีอะไรทำมันก็คือ ‘เรื่องจริง’ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรทำเลย
“ภาพที่แก้วใสมอง มันไม่เจริญจริงๆ กลับมาทำงานที่บ้านก็ต้องวางแผน ว่าจะทำอะไรได้บ้าง การตัดสินใจในการใช้ชีวิต เป็นการลงทุนที่สูงมาก โดยเฉพาะ 8 ปีที่ผ่านมา โควิด เศรษฐกิจ การจัดการของรัฐบาลที่ไม่ดี การกระจายอำนาจก็มีน้อย อาจจะต้องพูดไปถึงโครงสร้างทางด้านสังคมเลยด้วยซ้ำ ระบบสาธารณสุข การศึกษา ทุกอย่างมันไม่ได้ดีพอที่จะทำให้รู้สึกว่าการกลับมาอยู่บ้านแล้วตั้งใจใช้ชีวิตให้มีคุณภาพมันยาก ไม่ใช่ว่าใช้ชีวิตไม่ได้เลย แต่ความเจริญมันอยู่แค่ในเมือง สุดท้ายคนก็วิ่งเข้าหาอยู่ดี”
แก้วใสกล่าวว่า การทำเพจของเธอนั้นหลักๆ ไม่ได้ต้องการเงินจากการทำเพจเป็นหลัก สิ่งที่อยากให้เกิดขึ้น อยากให้เพจของแก้วใสก้าวไปอยู่ในจุดที่สามารถพูดถึงเรื่องของการศึกษาได้ เพราะแก้วใสให้ความสำคัญกับการศึกษา เนื่องจากที่ตนเองเรียนครูมา อยากให้มีคนเอาคลิปหรือคอนเทนต์ที่ทำไปวิจัย ไปชำแหละ เรื่องมานุษยวิทยา สังคมวิทยา ได้เรียนภาษาอังกฤษไปด้วย
“เงินที่ได้รับจากการทำคอนเทนต์ลงในเฟซบุ๊กได้ประมาณ 3,000 บาทจากการเปิดโฆษณาอัตโนมัติแค่นั้น และเพจแก้วใสก็จะดำเนินไปเรื่อยๆ คอนเทนต์ขึ้นอยู่กับว่าชีวิจของแก้วใสตอนนั้นพอหรือเจออะไรมาบ้าง สนใจอะไรบ้าง เผชิญอะไรอยู่ อนาคตคิดว่าต้องพัฒนาเพราะยังมีคนติดตามอยู่ อยากแบ่งปันอะไรให้สังคม ให้คนได้แรงบันกาลใจ ให้คนที่ไปทำงานกรุงเทพฯ ได้ดูคลิปก็เหมือนได้กลับบ้าน สร้างความรู้สึกและจิตสำนึกว่า บ้านรอคุณอยู่” แก้วใสกล่าว
ฝากถึงรัฐบาลใหม่
“ถ้ารัฐบาลเข้ามาซัพพอร์ตได้ ก็อยากให้สนับสนุนวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละภาค เพราะจะส่งผลช่วยผลักดันให้ประเทศโตมากขึ้น อย่างสมัยก่อนไม่มีสื่อโซเชียลและรัฐบาลไม่เข้ามาช่วย ต๊ะมองว่าการที่จะโตมันยาก แต่ตอนนี้เรามีโชเชียลเข้ามาช่วย และถ้ามีภาครัฐมาช่วยสนับสนุนด้วย มันจะโตขึ้นไปมากกว่านี้อีก ขนาดเราทำกันเอง ยังเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้ ถ้ามีภาครัฐเข้ามาช่วยจะได้ไปไกลขนาดไหน”ต๊ะกล่าว
ส่วนแก้วใสอยากให้พรรคการเมืองหรือรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาทำงาน ให้ความสนใจเรื่องการศึกษา เราเติบโตมากับสังคมชนบทและเชื่อว่าก็มีอีกหลายคนที่เติบโตมาแบบนี้อีกเช่นเดียวกัน เราอยากได้รัฐบาลที่สนใจเรื่องการศึกษาอย่างจริงจัง ถ้าสนใจที่จะทำเรื่องการกระจายอำนาจ ก็ต้องเป็นเรื่องการศึกษาก่อน แล้วค่อยตามมาเป็นเรื่องอื่นๆ
อ้างอิง