ชีวิตคนเราช่วงหนึ่งจะรู้ตัวเองเมื่อไหร่กันว่าที่ผ่านมามันไม่ใช่ตัวเรามาตลอด 13 ปี ด้วยความที่เราอยู่ในสังคมม.ต้นหญิงล้วน เลยเข้าใจว่าที่เรารู้สึกที่เราใช่อาจจะเป็นแบบนั้นลึก ๆ แล้วมีความคิดตลอดว่า ฉันควรเป็นผู้ชาย ฉันเป็นผู้ชายไหม “ถ้าเธอเลือกเกิดได้จะเกิดเป็นผู้ชายไหม ” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยถาม ณ ตอนนั้นฉันคิดว่า

“เออ เราคงผิดเองที่เกิดมาเป็นแบบนี้”

“ใช่ คงจะดีกว่านี้”

ในตอนนั้นเรายังไม่รู้ชื่อเรียกในสิ่งที่เราเป็น สังคมของเรารู้จักแต่คำว่า ‘ทอม’ ‘เลสเบี้ยน’ แต่เราก็ว่าไม่ใช่เลสนะ อยากแต่งตัวเป็นผู้ชาย ตัดผมแบบผู้ชาย พูดแสดงออกแบบผู้ชาย ก็คงจะเป็นทอม อย่างที่เข้าใจกันแล้วก็ใช้ชีวิตแบบทอมบอยจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 – 4 ที่เราเริ่มเสิร์ทข้อมูลมากขึ้นถึงได้เข้าใจว่าที่เราเป็นที่เรารู้สึกมันไม่ใช่แค่ ‘ทอม’ อย่างที่สังคมรอบตัวทำให้เราเข้าใจ เราอยากเป็นมากกว่านั้น เราต้องการความเป็นชาย จะว่ากระสั่นเลยก็ได้ มีความคิดอยากตัดนม ต่ออวัยวะเพศ เทคฮอร์โมน

แต่ด้วยชุดความคิดของเด็กต่างจังหวัด มันก็ได้อยู่แค่ในความคิด ขนาดพ่อเอง ยังคิดว่าโตขึ้นจะหายเป็นเลย เขาคิดว่าเพราะอยู่ท่ามกลางเหล่าหญิงสาว เลยต้องการความเป็นผู้นำแสดงออกแบบบอย ๆ เท่านั้น ช่วงนั้นเอง เราก็ได้รู้จักกลุ่มรุ่นพี่ที่เขาเป็นสังคมคอสเพลย์เล็ก ๆ ในโรงเรียน ด้วยคำพูดคำจากแบบตัวการ์ตูน หรือคาร์แรคเตอร์ที่เราสร้างขึ้นเราก็เล่นเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นผู้ชาย ที่เริ่มใช้คำพูด ‘คุณๆ ผมๆ ครับผม ‘ แล้วเรารู้สึกเป็นตัวเองมากจนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 เราลองพูดลอย ๆ ลองเชิงกับพ่อว่าอยากเทคฮอร์โมน อยากมาก

“ทำไมไม่ปล่อยไปตามธรรมชาติล่ะ จะชอบผู้หญิง ผู้ชายพ่อก็ไม่ว่าอะไรหรอก” เอาจริงๆ รู้สึกจุกอยู่เหมือนกัน เหมือนน้ำตารื้นขึ้นมาแล้วเราก็ไม่พูดอะไรต่อ ไม่เคยพูดเรื่องเทคฮอโมนอีก แต่บางครั้งไปห้าง ซื้อเสื้อผ้า เขาก็เลือกทรงผู้หญิงให้ แล้วเราก็เริ่มรู้สึกอึดอัด

“ขอทรงผู้ชายได้ไหม ซื้อแบบน้องก็ได้ มองเป็นผู้ชายคนหนึ่งไปเลยสิ” เอาอีกแล้ว ความดราม่าน้ำตารื้นทุกครั้งที่พูดขึ้นมาเหมือนจะร้องไห้ตลอด ทำไมเราต้องอึดอัดกับการไม่เป็นตัวเองหรือการเป็นตัวเองที่มากเกินไป จากนั้นพ่อก็ไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าให้เราอีก

จนขึ้นมหาวิทยาลัยที่คิดว่าจะลองเริ่มแต่งบอยดู คือมันเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มากกับเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งที่มาเจอพื้นที่เปิด พื้นที่อิสระในการแสดงออกของตัวเราเอง เราจะตัดผมสั้นแค่ไหน แต่งบอยแค่ไหน ก็ไม่มีใครว่า หรือว่าเราก็กล้าที่จะแสดงตัวเราออกมาเอง แล้วเพื่อนทุกคนในสาขาชั้นปีก็ให้ความสนับสนุนกับการเป็นตัวเราเองอย่างมากจนเริ่มรู้สึกกับตัวเองมากขึ้น คิดทบทวนในสิ่งที่ตัวเองเป็นแล้วก็คิดได้ว่า ‘เออ ตอนคอสเพลย์ฉันก็แต่งตัวผู้หญิงได้นะ แค่บทบาทบทหนึ่ง แล้วทำไม่ผู้ชายจะใส่กระโปรงบ้างไม่ได้ ‘ ตอนนั้นเองที่ตระหนักได้ว่าเออ เราไม่เทคฮอร์โมนตัดนมก็ได้ ฉันมีแค่นี้ไม่ได้มากมายอะไรออกกำลังกายก็ได้ อวัยวะส่วนนั้นเองก็ใช้การได้ไม่เต็มที่

แล้วก็คิดว่า ‘เควียร์’ ตอบโจทย์อัตลักษณ์ของตัวเอง ก็อยู่ไปเรื่อยๆ แต่ก็หลุดไม่พ้นกรอบ ‘ทอม’ เสียสถาบันทอม ไม่ทอมจริง ทอมเกย์เหรอ อะไรทำนองนี้อยู่ตลอด ด้วยอาจจะเพราะเราชอบทั้งหญิง ทั้งชาย กะเทย เกย์อะไรแบบนี้ไปหมดด้วย ไม่ได้มีการผ่าตัด เทคฮอร์โมนเป็นเรื่องเป็นราวคนก็จะมองว่าเป็นทอมนั้นแหละ อาจจะเพราะสังคมของแถบภาคอีสานเองก็ด้วยที่ความเข้าใจในเรื่องเพศของเขาจะรู้จักแค่ไม่กี่อย่าง อาจารย์บางท่านเองก็ไม่ได้เข้าใจอะไรขนาดนั้น แต่เราจะหวังให้คนอื่นมาเข้าใจเราทั้งหมดก็คงไม่ไหว เราก็ไม่อยากอธิบายต่อถ้าเขาไม่อยากฟัง แต่อย่างนั้นเราก็มีความคิดที่อยากเทคฮอร์โมนมาตลอด ๆ อยู่ดี แต่ด้วยราคา ด้วยภาคพื้นที่ของเราเข้าถึงอะไรแบบนี้ได้ยาก คนในครอบครัวไม่ซัพพอร์ต จนบางครั้งบางทีแอบอิจฉากะเทยเหมือนกันนะว่าถ้าฉันเป็นกะเทยก็คงง่ายกว่า แต่ความเป็นจริงคนที่ผ่านอะไรมาเยอะก็มีเยอะเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ก็พอเข้าใจว่าทำไมเขาต้องการเปลี่ยนเพศ แต่กลับกันพอเป็นตัวเราเขาบอก ‘ปกติดีอยู่แล้วจะไปทำตัวเองให้พิการทำไม เป็นธรรมชาติหน่อยได้ไหม’ แล้วตัวฉันที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะเป็นไปเองตามธรรมชาติหรอกเหรอ

ชุดรับปริญญาก็พยายามแสดงจุดยืนของตนเองด้วยการแต่งกายชายเข้ารับ เรื่องนี้ก็เป็นประเด็นขึ้นมาอีก “เธอมีจิ๋ม จะมาทำตัวใส่ชายแบบนี้ไม่ได้ ยังไงเธอก็มีประจำเดือน ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิง” คนที่เข้าใจเราที่สุดควรเป็นคนในครอบครัวควรเป็นพ่อแม่หรือเปล่า ก็ไม่ นึกถึงคำพูดในซีรีส์ไทยเรื่องหนึ่ง “เรารับได้ที่เห็นคนในสังคมมีเกย์ มีกะเทย แต่พอมาเป็นลูกเราแล้วเรากลับรับไม่ได้” บางครั้งการเป็นแบบนี้ ก็ทำให้เรายิ่งถูกคาดหวังมากขึ้นไปอีก “เธอเป็นไม่ได้หรอก คนที่เป็นแบบนี้เขาต้องมีความสามารถ เธอต้องแข็งแรงบึกบึนสิ” ทำไมชายหญิงไม่ต้องพิสูจน์ตัวตนก็เป็นชายหญิงได้ แต่ทำไม่พอจะข้ามเพศเราต้องเป็นคนเก่งถึงจะมีที่ยืนในสังคม เพราะฉันอ่อนแอ หรือสังคมสื่อหล่อหลอมทำให้ติดภาพจำนั้นๆ จนถึงตอนนี้ก็ยังคงมีความคิดอยากเทคฮอร์โมนอยู่บ้างแต่ไม่คิดจะทำอวัยวะเพศนั้นแล้ว แค่เราก็ยอมรับตัวเอง แล้วนิยามตัวเราแบบที่เราต้องการ ฉันก็พอใจจะใช้ชีวิต

“ธันยะ เป็นผู้ชายค่ะ”